9 วิธีแก้ท้องผูกสำหรับผู้สูงอายุ รู้ไว้ ห่างไกลโรคแทรกซ้อน

ท้องผูกในผู้สูงอายุ เป็นปัญหาที่พบบ่อยและสร้างความกังวลใจให้ทั้งผู้สูงอายุและคนในครอบครัว แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงกว่า เช่น ริดสีดวงทวาร ลำไส้อุดตัน หรือแม้กระทั่งเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ วันนี้ Proudly Care จึงรวบรวม วิธีแก้ท้องผูก ที่ปลอดภัยและได้ผลสำหรับผู้สูงอายุ พร้อมบอกถึงสาเหตุและสัญญาณเตือนที่คุณไม่ควรมองข้ามมาฝากกัน

สาเหตุหลักที่ทำให้ผู้สูงอายุท้องผูก

การทำความเข้าใจสาเหตุจะช่วยให้เราแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น สาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุมีอาการท้องผูกได้ง่ายกว่าวัยอื่นมีดังนี้

  • การกินอาหารน้อยลง ทำให้ลำไส้ขี้เกียจ เมื่ออายุมากขึ้น ผู้สูงอายุหลายคนอาจกินอาหารน้อยลงเพราะเคี้ยวลำบาก หรือรู้สึกไม่หิวเท่าเดิม ซึ่งการกินน้อยลงนี้ทำให้ได้รับใยอาหาร (Fiber) น้อยตามไปด้วย ส่งผลให้อุจจาระแข็งและแห้ง ลำไส้จึงทำงานช้าลง

  • ดื่มน้ำน้อยไป อุจจาระเลยแข็ง ผู้สูงอายุบางรายอาจรู้สึกกระหายน้ำน้อยลง หรือกังวลเรื่องการปัสสาวะบ่อย จึงลดปริมาณการดื่มน้ำลง เมื่อร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ ลำไส้จะดูดน้ำกลับจากอุจจาระจนหมด ทำให้อุจจาระแข็งและแห้ง ขับถ่ายได้ยาก

  • ลำไส้เคลื่อนตัวช้าลง ของเสียจึงค้างนาน การบีบตัวของลำไส้ (Peristalsis) เพื่อผลักดันกากอาหารและของเสียให้เคลื่อนที่ออกไปจะช้าลงตามวัยที่เพิ่มขึ้น ทำให้ของเสียค้างอยู่ในลำไส้นานขึ้นและกลายเป็นอุจจาระที่แข็งและแห้ง หากปล่อยไว้นานอาจเสี่ยงเป็นริดสีดวงทวารหรือมะเร็งลำไส้ได้

  • กล้ามเนื้ออ่อนแอลง ทำให้เบ่งลำบาก การขับถ่ายต้องอาศัยกล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานช่วยในการเบ่ง แต่เมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อเหล่านี้จะอ่อนแรงลง ทำให้ต้องออกแรงมากขึ้นกว่าจะขับถ่ายได้ ซึ่งการเบ่งมากเกินไปอาจทำให้เกิดริดสีดวงทวารหรือภาวะกระเพาะปัสสาวะเล็ดในผู้หญิง

  • ผลข้างเคียงจากยาและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ระดับฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนไปตามวัย รวมถึงยาบางชนิดที่ผู้สูงอายุใช้อยู่เป็นประจำ เช่น ยาลดความดัน ยาแก้ซึมเศร้า หรือยารักษาพาร์กินสัน ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ท้องผูกได้โดยตรง

    9 วิธีแก้ท้องผูกสำหรับผู้สูงอายุอย่างปลอดภัยและได้ผล

    1. ดื่มน้ำให้เพียงพอ พยายามจิบน้ำบ่อยๆ ตลอดวัน แม้จะไม่รู้สึกกระหาย การดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว หรืออาจเปลี่ยนเป็นน้ำอุ่น น้ำขิง หรือซุปผัก เพื่อช่วยให้อุจจาระนิ่มลงและขับถ่ายได้ง่ายขึ้น

    2. เพิ่มใยอาหารในมื้ออาหาร การกินอาหารที่มีใยอาหารสูงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ควรเลือกอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ผักใบเขียว (ผักบุ้ง, ตำลึง), ผลไม้ (มะละกอ, กล้วยน้ำว้า, แตงโม, ส้ม), ข้าวกล้อง, และถั่วต่างๆ หากเคี้ยวยาก ลองปั่นเป็นสมูทตี้หรือทำเป็นซุปแทนได้

    3. รับประทานอาหารที่มีโพรไบโอติก โพรไบโอติก (Probiotic) คือจุลินทรีย์ดีในลำไส้ที่จะช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหารให้ดีขึ้น เช่น การรับประทานโยเกิร์ต นมเปรี้ยว หรือกิมจิ ซึ่งเป็นอาหารที่มีโพรไบโอติกเป็นประจำจะช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ หรืออาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโพรไบโอติกส์ได้เช่นกัน

    4. ออกกำลังกายและขยับตัวให้มากขึ้น การออกกำลังกายเบาๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเล่น, การยืดเส้น, หรือโยคะเบาๆ จะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ และทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น

    5. ฝึกนิสัยการขับถ่ายให้เป็นเวลา ควรจัดสรรเวลาให้ผู้สูงอายุเข้าห้องน้ำเพื่อขับถ่ายในช่วงเวลาเดียวกันทุกวัน เช่น หลังตื่นนอนตอนเช้าหรือหลังมื้ออาหาร เพื่อให้ร่างกายคุ้นชินและสร้างนาฬิกาชีวภาพของระบบขับถ่าย

    6. นวดหน้าท้องช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ การนวดหน้าท้องเบาๆ ตามเข็มนาฬิกาจะช่วยกระตุ้นการเคลื่อนตัวของลำไส้ใหญ่ ควรทำหลังตื่นนอนตอนเช้าหรือก่อนนอน โดยใช้ปลายนิ้วนวดวนเป็นวงกลมบริเวณหน้าท้องด้านขวาแล้วเคลื่อนขึ้นไปด้านบนและลงมาทางด้านซ้าย

    7. ฝึกบริหารกล้ามเนื้อ หากมีปัญหาเรื่องการเบ่ง ควรฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานด้วย ท่า Kegel หรือใช้ที่รองเท้าขณะนั่งขับถ่ายเพื่อยกเข่าให้สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เบ่งง่ายขึ้น นอกจากนี้ การกินอาหารที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น ปลา ไข่ และเต้าหู้ ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี

    8. ปรึกษาแพทย์เพื่อใช้ยาระบาย ในกรณีที่อาการท้องผูกรุนแรงหรือเป็นมานาน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาใช้ยาระบาย ยาระบายมีหลายประเภท ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น ไม่ควรซื้อมาใช้เองเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้ลำไส้ติดยาระบายได้

    9. ปรับเปลี่ยนการใช้ยาประจำตัว หากสงสัยว่าอาการท้องผูกเกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิดที่ผู้สูงอายุใช้อยู่ ควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแลเพื่อพิจารณาปรับชนิดยาหรือปริมาณยาที่เหมาะสม เพื่อลดผลกระทบต่อระบบขับถ่าย

    เมื่อไหร่ที่ต้องไปพบแพทย์?

    ถ้าผู้สูงอายุมีอาการท้องผูกหนักจนรบกวนชีวิตประจำวัน หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดท้องรุนแรง, มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ, น้ำหนักลดลงผิดปกติ, หรือไม่สามารถขับถ่ายได้เลยนานหลายวัน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อตรวจหาสาเหตุและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

    การดูแลระบบขับถ่ายของผู้สูงอายุให้เป็นปกติไม่เพียงแต่ช่วยลดความไม่สบายตัว แต่ยังช่วยป้องกันโรคและส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นด้วย การใส่ใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น การดื่มน้ำ การทานอาหารที่มีประโยชน์ และการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ จะเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดจากปัญหาท้องผูกในระยะยาว


    Categories

    บทความล่าสุด

    Tags

    ค้นหา

    Generic selectors
    Exact matches only
    Search in title
    Search in content
    Post Type Selectors
    ไอคอน PDPA

    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า